ฟิล์มใสรถยนต์แบบไหนดี TPH vs TPU แบบไหนทนกว่า – นี่คือคำถามยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปกป้องสีรถยนต์ให้ดูใหม่เงางามอยู่เสมอ ด้วยนวัตกรรมฟิล์มกันรอยรถยนต์ (Paint Protection Film หรือ PPF) ที่พัฒนาไปไกล ทำให้มีวัสดุให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะ TPH และ TPU ซึ่งเป็นสองประเภทหลักที่มักถูกนำมาเปรียบเทียบกัน เพื่อให้คุณตัดสินใจเลือกฟิล์มที่ตอบโจทย์ความต้องการและงบประมาณของคุณได้อย่างลงตัว เราจะมาเจาะลึกถึงคุณสมบัติ ข้อดี ข้อเสีย และความทนทานของฟิล์มทั้งสองชนิดนี้กัน
ทำความรู้จักกับฟิล์มใสรถยนต์ (PPF)
ฟิล์มใสรถยนต์ หรือ PPF คือแผ่นฟิล์มโพลียูรีเทนใสที่ออกแบบมาเพื่อติดตั้งบนพื้นผิวสีรถยนต์ ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันชั้นนอกสุด ช่วยปกป้องสีรถจากรอยขีดข่วน สะเก็ดหิน คราบสกปรก มูลนก ยางไม้ และรังสียูวี ที่เป็นสาเหตุทำให้สีรถซีดจางและเสียหายในระยะยาว
ฟิล์มใสรถยนต์ TPH คืออะไร? (Thermoplastic Polyurethane Hybrid)
TPH (Thermoplastic Polyurethane Hybrid) เป็นฟิล์มกันรอยที่พัฒนามาจากวัสดุ PVC โดยมีการผสมสารเพิ่มความยืดหยุ่นและคุณสมบัติอื่นๆ เข้าไป ทำให้ TPH มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าฟิล์ม PVC แบบดั้งเดิมในด้านความทนทานและความใส
คุณสมบัติเด่นของ TPH:
- ราคาย่อมเยา: เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า TPU
- ความใสในระดับดี: ให้ความใสที่ใช้ได้ ไม่ทำให้สีรถดูหมอง
- ป้องกันรอยขีดข่วนทั่วไป: สามารถทนทานต่อรอยขีดข่วนเล็กน้อยและแรงกระแทกจากสะเก็ดหินที่ไม่รุนแรงมาก
- ติดตั้งง่าย: มีความยืดหยุ่นพอสมควร ทำให้การติดตั้งง่ายกว่าฟิล์ม PVC
ข้อจำกัดของ TPH:
- ความทนทานน้อยกว่า TPU: มีอายุการใช้งานประมาณ 5-7 ปี ซึ่งสั้นกว่า TPU
- การฟื้นฟูตัวเองจำกัด: อาจมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูรอยขีดข่วนได้บ้าง แต่ไม่เทียบเท่า TPU
- อาจเกิดอาการเหลือง: มีโอกาสเกิดอาการเหลืองเมื่อใช้งานไปนานๆ และสัมผัสกับรังสียูวีอย่างต่อเนื่อง (แม้จะพัฒนามาดีกว่า PVC แล้วก็ตาม)
- ไม่ทนทานต่อสารเคมีบางชนิด: อาจได้รับผลกระทบจากสารเคมีรุนแรงหรือคราบสกปรกที่ฝังแน่น
ฟิล์มใสรถยนต์ TPU คืออะไร? (Thermoplastic Polyurethane)
TPU (Thermoplastic Polyurethane) ถือเป็นมาตรฐานทองคำของฟิล์มกันรอยรถยนต์ในปัจจุบัน ผลิตจากโพลียูรีเทนแท้ 100% ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหนือกว่า TPH อย่างเห็นได้ชัด
คุณสมบัติเด่นของ TPU:
- ความยืดหยุ่นสูง: มีความยืดหยุ่นและยืดหยุ่นได้ดีเยี่ยม สามารถเข้าโค้งและเข้ารูปกับพื้นผิวรถยนต์ที่ซับซ้อนได้อย่างไร้รอยต่อ
- ความทนทานสูงสุด: มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 7-10 ปี หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับคุณภาพของฟิล์มและการดูแลรักษา
- คุณสมบัติ Self-Healing (ฟื้นฟูตัวเอง): นี่คือจุดเด่นที่สำคัญที่สุด เมื่อเกิดรอยขีดข่วนเล็กน้อยจากปัจจัยต่างๆ ฟิล์ม TPU สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ด้วยความร้อนจากแสงแดดหรือน้ำร้อน ทำให้รอยเหล่านั้นจางหายไปเอง
- ความใสที่เหนือกว่าและไม่เหลือง: คงความใสได้อย่างยาวนาน ไม่เกิดอาการเหลืองแม้ผ่านการใช้งานไปนานๆ และทนทานต่อรังสียูวีได้ดีเยี่ยม
- การปกป้องที่เหนือกว่า: สามารถดูดซับแรงกระแทกจากสะเก็ดหิน เศษหิน และรอยขีดข่วนที่รุนแรงกว่าได้ดีกว่า TPH
- ทนทานต่อสารเคมีและคราบสกปรก: ปกป้องสีรถจากสารเคมี มูลนก ยางไม้ และคราบสกปรกต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อจำกัดของ TPU:
- ราคาสูงกว่า TPH: ด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่า ทำให้ TPU มีราคาสูงกว่า TPH อย่างเห็นได้ชัด
- การติดตั้งต้องใช้ความชำนาญ: เนื่องจากมีความหนาและคุณสมบัติเฉพาะตัว การติดตั้งฟิล์ม TPU ที่สมบูรณ์แบบจึงต้องอาศัยช่างผู้ชำนาญการเป็นพิเศษ
TPH vs TPU: แบบไหนทนกว่า?
เมื่อเปรียบเทียบในเรื่องของความทนทาน ฟิล์ม TPU มีความทนทานสูงกว่า TPH อย่างชัดเจน ด้วยโครงสร้างโมเลกุลของโพลียูรีเทนแท้ที่ทำให้ TPU มีความยืดหยุ่นสูง สามารถคืนตัวได้ดี และทนทานต่อแรงกระแทกและการเสียดสีได้มากกว่า นอกจากนี้ คุณสมบัติ Self-Healing ของ TPU ยังช่วยให้ฟิล์มรักษาสภาพพื้นผิวให้ดูใหม่ได้นานกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีรอยขีดข่วนเล็กน้อยเกิดขึ้น
ตารางเปรียบเทียบความทนทานและคุณสมบัติหลัก:
สรุป: ควรเลือกฟิล์มแบบไหนดี?
- เลือกฟิล์ม TPH หาก: คุณมีงบประมาณจำกัดและต้องการการปกป้องสีรถในระดับพื้นฐานสำหรับรอยขีดข่วนและสะเก็ดหินทั่วไป หรือต้องการฟิล์มที่มีราคาเข้าถึงได้ง่ายและมีอายุการใช้งานปานกลาง
- เลือกฟิล์ม TPU หาก: คุณต้องการการปกป้องสีรถยนต์ขั้นสูงสุด พร้อมคุณสมบัติ Self-Healing ที่ช่วยให้ฟิล์มดูใหม่เสมอ ทนทานต่อการใช้งานในระยะยาว ไม่กังวลเรื่องงบประมาณ และต้องการคงมูลค่ารถยนต์ของคุณให้ดีที่สุด
ไม่ว่าคุณจะเลือกฟิล์มใสรถยนต์ TPH หรือ TPU สิ่งสำคัญคือการเลือกผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่มีคุณภาพและได้รับการติดตั้งโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการปกป้องสูงสุดและคงความสวยงามของสีรถยนต์ของคุณไปอีกนานแสนนาน
